เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑ ธ.ค. ๒๕๕o

 

เทศน์เช้า วันที่ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๐
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเขาอยู่เมืองนอกนะ เวลาเขาทำงานเขาก็ยืน ๗-๘ ชั่วโมง แล้วเวลาเขาเดินจงกรมเขาเหนื่อยของเขา เขาพยายามบังคับตัวเอง พอบังคับตัวเองเขาก็ทำได้ของเขา พอเขาทำได้ของเขามันยืนยันจากใจไง ยืนยันจากใจคือว่าใจมันสัมผัสเอง พอใจสัมผัสเองมันพูดกันง่าย เราไม่เป็นชาล้นถ้วยนะ

เราประพฤติปฏิบัติกันนะชาล้นถ้วย ในการศึกษาก็ชาล้นถ้วย ความเห็นของเรามันเป็นน้ำชาอยู่ในถ้วย แล้วศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้าเหมือนกับน้ำที่ล้นออกจากถ้วยอยู่ในจานรอง หรือล้นออกไปจากถ้วยไปอยู่บนโต๊ะ เพราะอะไร มันเป็นของเกินไง เกินอะไร เกินจากการยอมรับของตัว เกินจากการตีความของตัว กิเลสของตัวเต็มหัวใจ กิเลสของตัวเต็มในถ้วยชานั้น

แล้วก็ไปเรียนไปศึกษาบอกว่าตัวเองไปเรียนธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่เลย แล้วกิเลสมันอยู่ในหัวใจ กิเลสมันตีความออกไป สิ่งที่เป็นประโยชน์คือว่ามันต้องอยู่ในถ้วย เราจะยกขึ้นมาดื่มได้ แต่เพราะกิเลสทิฏฐิมานะของเรา ตัณหาของเรา ตัวตนของเราอยู่ในถ้วยนั้น แต่ศึกษามามันศึกษาล้นออกไปนอกถ้วย ความเห็นล้นออกไปนอกถ้วย เห็นไหม ล้นออกไป ความเห็นของเจ้าน่ะกลับเป็นความเห็นเศษเห็นเดนไง เห็นเศษเห็นเดนเพราะตัวเองไม่เห็นด้วยไง ตัวเองตีความไม่เข้าใจ แต่ถ้าเป็นความเห็นของตัวตัวเองชอบใจนะ ความรู้สึกของตัวเองๆ ชอบใจมาก เห็นไหม นี่ความสุขอย่างนี้นะความสุขมาจากไหน สิ่งที่เป็นประโยชน์กลับเป็นประโยชน์นะ ถ้ามันชาล้นถ้วย เราไม่ยอมรับสิ่งใดๆ เลย

คนเราต้องมีการศึกษานะ ดูสิ ดูเขาเลี้ยงวัวนะ ถ้าวัวยังเด็กๆ อยู่ วัวยังเล็กๆ อยู่ เขายกทุกวัน วัวจะใหญ่ขนาดไหนเขายกได้ทุกวัน เพราะอะไร เพราะมันการฝึกใช่ไหม? วัวจะตัวโตขนาดไหนเพราะเขายกทุกวันเลย เขายกทุกวันน่ะเขาได้ออกกำลังกายของเขาไปด้วย ร่างกายเขาแข็งแรงไปด้วย เขายกได้ตลอดไป มันเป็นความมหัศจรรย์นะ! วัวตัวเบ้อเร่อเลยทำไมคนๆ หนึ่งอุ้มขึ้นมาได้ เพราะเขาอุ้มทุกวัน อุ้มทุกวันมันก็ฝึกมาทุกวัน แต่ถึงเวลาเราจะไปอุ้มวัวตัวใหญ่เลยไม่ได้ ต้องอุ้มจากวัวตัวเล็กก่อน เห็นไหม วัวมันตัวเล็กเราอุ้มทุกวัน อุ้มทุกวัน มันความชำนาญของเรา กำลังเราก็พอเพราะเราฝึกของเรา พอวัวมันตัวใหญ่ขึ้นมาเราก็อุ้มได้

นี่ก็เหมือนกัน ความเพียรของเราถ้าเรามีความตั้งใจ เราก็ทำของเราได้ แต่นี่เราทำของเราไม่ได้เพราะเราไม่มีการฝึกฝน เพราะเราไม่เคยอุ้มวัวเลย เห็นเขาอุ้มวัวทึ่งกับเขานะ ทึ่งมาก เขาอุ้มวัวแล้วเราไม่เคยยกวัว ไม่เคยอุ้มวัวเลย ยกวัวนี่ความเพียรไง ความเพียรนะ เวลานักกีฬาเขาฝึกซ้อมขึ้นมา เขาได้อะไรขึ้นมา เขาได้เหงื่อของเขานะ เขาได้เหงื่อมา เขาเสียพลังงานของเขาไป แต่ร่างกายเขาแข็งแรงนะ เห็นไหม

การกระทำของเราก็เหมือนกัน เวลาเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา สิ่งนี้เป็นงานทั้งนั้น มันเป็นสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย ข้อวัตรปฏิบัติมันน่าเบื่อหน่าย คำว่าน่าเบื่อหน่าย น่าเบื่อหน่ายของใคร เห็นไหม ชาในถ้วยไง ชาในถ้วยมันอยู่แน่นถ้วย มันไม่ยอมให้น้ำชาเติมเข้าไปในถ้วยนั้นเลย มันเบื่อหน่ายของมัน แต่เวลาชามันพร่องไป เติมน้ำไปในถ้วยนั้นมันจะมีประโยชน์กับถ้วยนั้นมาก

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราประพฤติปฏิบัติขึ้นมา เวลาจิตมันสัมผัสขึ้นมา ความเป็นไปของใจเหมือนเราทำงานต่างๆ แล้วมีผลตอบแทน มันจะมีความองอาจกล้าหาญนะ ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเรา เวลาจิตรวมหนหนึ่ง เวลาปัญญามันเกิดขึ้นหนหนึ่ง เวลาขึ้นไปถามธรรมะมันองอาจกล้าหาญมาก กับที่ว่าเราไปถามโดยที่ว่าเราลังเลสงสัย กับที่เราไม่รู้อะไรเลย แต่เราอยากศึกษาขึ้นมานะ “ชาล้นถ้วย” เห็นไหม ชามันล้นถ้วย ในถ้วยเรามีแต่ชาหมดเลย ขึ้นไปนะ เอ๊อะๆ อ๊ะๆ นะ เพราะอะไร เพราะเราไม่เข้าใจ เราไม่รู้อะไรเลย มันเป็นการคาดการหมาย เราจะจับต้องสิ่งใดๆ ไม่ได้เลย เราจะไม่รู้อะไรเลย แล้วก็ถามด้วยความไม่รู้อันนั้น ถามไปด้วยชาล้นถ้วยอันนั้นนะ ถามเข้าไป

แต่ชามันพร่อง มันมีอากาศในนั้น มันพร่องถ้วย มันควรจะเติมน้ำชาเข้าไปได้ เห็นไหม เวลาจิตเราสัมผัสขึ้นมา มันเป็นอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น ทำไมมันถึงเป็นอย่างนี้ล่ะ ถ้าเป็นอย่างนี้ควรทำอย่างไรต่อไปข้างหน้าล่ะ ถ้ามันเป็นความจริงขึ้นมามันจะมีความองอาจกล้าหาญ มันจะเกิดมาจากใจ เพราะอะไร เพราะเป็นสันทิฏฐิโก มันเกิดมาจากใจใช่ไหม

นี่ไปเกิดจากกางตำรากันนะ สิ่งที่เกิดจากภายนอกแล้วเราก็ไปคิดตามภายนอก น่าสลดสังเวชนะ ดูสิ เวลาน้ำชามันล้นออกไป มันเจิ่งนองไป เห็นไหม นั่นนะของดีทั้งนั้นเลย ของดีอะไร ของดีเพราะเพราะสิ่งนั้นมันเป็นวิธีการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม เพราะพระไตรปิฎกมันเป็นวิธีการ แล้วเป้าหมายของเราล่ะ เป้าหมายคือใจของเรา แล้วเป้าหมายของเรามันมีตัวตน มันมีทิฏฐิความเห็นของมันอยู่แล้ว มันก็ตีความตามความเข้าใจของตัว เห็นไหม

ถ้าปฏิบัติเข้าไปแล้วมันจะเวิ้ง มันจะว้าง มันจะว่าง มันจะเหาะลอยขึ้นไปบนอากาศ มันจะเป็นไป มันจินตนาการไปหมด แล้วมันเป็นอย่างนั้นไหม มันไม่เป็นเพราะอะไร ถ้ามันเป็นไปมันก็เป็นแบบคนเสียสติไง นี่เวลาประพฤติปฏิบัติว่าคนปฏิบัติแล้วมันจะมีโทษๆ มีโทษเพราะอะไร มีโทษเพราะเราทำตามกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเรา เราไม่ทำตามความเป็นจริงนี่

ทำตามความเป็นจริง ศีล สมาธิ ปัญญา จิตต้องปกติก่อน ต้องมีจุดยืนขึ้นมาก่อน คนไม่มีจุดยืนคือคนไม่มีจุดยืนเลย คนเชื่อตามกระแสไป กระแสชักนำไปแล้วไปกับเขา นี่เขาเป็นเศรษฐีกัน ดูสิ ครูบาอาจารย์เป็นเศรษฐีธรรม ท่านมีธรรมในหัวใจของท่าน ท่านก็ชักนำของท่านไป เราก็แห่ตามกันไป เห็นไหม แห่ตามกันไปดูสมบัติของเขานะ สมบัติของเขามหาศาลเลย แล้วของเรามีอะไรล่ะ ของเราไม่เห็นมีอะไรเลย ถ้าไม่มีอะไรเลยเราก็เห่อตามกระแส เพราะอะไร เพราะเราไม่มีจุดยืนของเรา

ถ้ามีจุดยืนของเรา เห็นไหม จุดยืนของเรามันต้องกลับมาที่ตัวเราก่อน ดูสิ มือของเราถ้าสะอาดบริสุทธิ์ เราทำการทำงานอะไรก็ได้ มือที่สะอาดมันจะหยิบฉวยสิ่งใดก็ได้มันไม่เจ็บแสบปวดร้อน มือของเรามันเป็นแผลทั้งมือเลย แล้วทำอะไรขึ้นมามันก็เจ็บ หยิบหย่งหยิบโหย่ง ทำอะไรก็ทำไม่ได้เลย เพราะมือเราไม่ปกติ เห็นไหม เราต้องมีจุดยืนของเราคือกลับมาที่ตัวเราก่อน กลับมาที่คำบริกรรม กลับมาที่จุดยืนของเรา ถ้าจุดยืนของเรามันก็เป็นสมบัติของเรา เห็นไหม นี่สมบัติของครูบาอาจารย์ก็สาธุ ยอมรับ ยอมรับหมดนะ

ทุกคนเกิดมาจากพ่อจากแม่ เราไม่มีพ่อแม่จะเกิดมาได้อย่างไร นี่พูดถึงประสาวิทยาศาสตร์ เห็นไหม แต่ประสากรรม เพราะมันมีจิต จิตตัวนี้มันต้องเกิดอยู่แล้ว จิตตัวนี้ถ้าไม่เกิดกับพ่อแม่มันต้องไปเกิดในสถานะใดสถานะหนึ่งแน่นอน เพราะอะไร เพราะมันมีแรงขับ เพราะมันมีอวิชชา มีตัณหาความทะยานอยาก แต่มันมีความรู้สึกคือตัวจิต ตัวจิตเห็นไหม ธาตุรู้ ธาตุสสารที่เป็นสสารทางโลกมันเป็นวัตถุที่พิสูจน์กันได้ทางวิทยาศาสตร์

แต่ธาตุรู้นี่พิสูจน์ได้ด้วยวิธีใด ธาตุของวิญญาณนี่พิสูจน์กันได้ด้วยอะไร พิสูจน์กันด้วยสติ ด้วยปัญญาของเรา ด้วยความเห็นของเราจากภายใน พิสูจน์กันนี่ ตัวจิตอยู่ที่นี่ มันเกิดขึ้นมาเห็นไหมมันสุดก่อนเรา เพราะอะไร เพราะมันต้องเกิด มันต้องเกิดมากับแรงขับไส แรงขับไสคือเกิดจากกรรมไง การเกิดของเราเกิดจากแรงกรรมของเรา แรงขับไสของเรา แรงจิตของเรา มันต้องเกิดตลอดไป แต่เวลาเกิดขึ้นมาเป็นวิทยาศาสตร์ขึ้นมาเกิดจากพ่อจากแม่ แล้วประพฤติปฏิบัติขึ้นมาเกิดจากครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงมานะ พ่อแม่เราตรากตรำมา หามานะ ดูสิ อุ้มท้องมากว่าจะคลอดมา คลอดมาแล้วก็เลี้ยงดูตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย โอ้โลมปฏิโลมมาจนกว่าจะโตขึ้นมา เห็นไหม พ่อแม่ทุกข์ยากมาขนาดไหน

นี่เราไม่เคยเป็นพ่อแม่คน เราไม่เคยเป็นครูบาอาจารย์ เรายังไม่รู้หรอกว่าเราจะประคับประคองกันไปอย่างไรครอบครัวของเรานี่ ครอบครัวของเราศากยบุตรไง พุทธชิโนรสไง บริษัท ๔ นี่ไง จะประคับประคองกันไปอย่างไร ประคองไปด้วยวัตถุเหรอ วัตถุมันแค่ ๒๕ เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนเท่านั้นนะ ต้นทุนคือปัญญาความรู้สึก ปัญญาความคิดที่เราลุงทุนไปโดยศูนย์เปล่า ลงทุนกันไปคือศึกษากันไป ลงทุนการปฏิบัติกันไป แล้วมันได้อะไรขึ้นมา มันได้ความจริงขึ้นมาไหม ความจริงขึ้นมานี่แล้วพ่อแม่พยายามโอ้โลมปฏิโลมมาตรงนี้ เลี้ยงมาเพราะอะไร เลี้ยงมาพอเกิดมาเห็นไหม เกิดมาแล้วเลี้ยงดูมา การศึกษามา การกระทำมา ทำมาเพื่อใคร ก็ทำมาเพื่อความรู้อันนี้ไง เพื่อไม่ให้มันล้นถ้วย อย่าให้มันล้นถ้วยนะ

ข้อวัตรปฏิบัติการกระทำของเราต้องทำ ทำเพราะอะไร เพราะกระชากหน้ากิเลสมันออกมา ความขี้เกียจ ความขี้คร้าน ความท้อแท้อ่อนแอ เรื่องกิเลสทั้งนั้นเลย แต่ถ้าเราทำด้วยความองอาจกล้าหาญ ทำด้วยเต็มไม้เต็มมือ ทำด้วยความชื่นบาน เพราะอะไร เพราะมันเป็นวิธี มันข้อปฏิบัติ เห็นไหม รถมันจะวิ่งได้มันมีถนนหนทาง ถ้าถนนยิ่งเลียบ ถนนยิ่งทางตรง รถจะเหยียบได้เต็มที่เลย

จิตก็เหมือนกัน ถ้าเกิดมันพอใจในข้อวัตรปฏิบัติ ข้อวัตรปฏิบัติคือถนนหนทางไง วิธีการข้อวัตรปฏิบัติมันเป็นเครื่องดำเนิน มันเป็นวิธีการ มันเป็นทางก้าวเดินของใจ ถ้าใจไม่ก้าวเดินเลย เราไม่มีการกระทำเลย เห็นไหม ไปดูสมบัติของเขาแล้วสมบัติของเราก็ไม่มีนะ วัวอุ้มก็ไม่ได้ ยกก็ไม่ได้ เข้าไปใกล้มันยังไม่กล้าเลย มันกลัวเหม็นสาบเหม็นสางของวัว มันจะไปยกอะไรมัน นี่กลัวขี้วัว กลัวเยี่ยววัว กลัวไปหมดเห็นไหม นี่ข้อวัตรปฏิบัติพอทำไปแล้วมันแหยงไปหมด มันทำอะไรไม่ได้เลย หยิบโหย่งไปหมดเลย

แต่ถ้าเราทำด้วยความเต็มไม้เต็มมือขึ้นมา สิ่งนี้มันเป็นประโยชน์เพราะอะไร เพราะมันดึงไอ้ตัณหาความทะยานอยากนั้นออกมาไง ดึงสิ่งที่ขัดแย้งในหัวใจไง ไอ้ชานั้นลดให้มันพร่องไปจากถ้วยนั้น ลดไปจากหัวใจของเราไง หัวใจของเราที่มันยึดมั่นอยู่นี่มันเป็นตัณหาความทะยานอยาก มันไม่เป็นธรรมนะ ถ้ามันเป็นธรรมขึ้นมามันองอาจกล้าหาญ นี่ศีล ทำให้เราไม่เก้อเขินในสังคมใดๆ ทั้งสิ้น สังคมใดก็แล้วแต่ถ้าศีลธรรมเราเสมอเขานี่ เจอที่ไหนองอาจกล้าหาญไปหมดเลย จะเข้าที่ไหนก็ได้จะไม่มีสิ่งใดๆ มาทำให้เราเก้อเขินเลย แล้วถ้ามีธรรมขึ้นมาในหัวใจล่ะ ธรรมในหัวใจของเราขึ้นมาเกิดมาจากไหนล่ะ เกิดมาจากความรู้จริงไง

สมบัติขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาธุ ยกไว้ สมบัติของเราเราประสบของเรา พูดเถอะ พูดที่ไหนก็ได้ จะไปแขวนบนอากาศพูดก็ได้ จะไปดำน้ำพูดในน้ำก็ได้ เพราะอะไร เพราะมันรู้มาจากใจ จะอยู่ในสถานะไหนมันก็พูดได้ เพราะมันรู้จริงไง รู้จริงมันจะกลัวสิ่งใดล่ะ มันรู้มาจากใจเรา แล้วรู้มาจากไหนล่ะ รู้มาจากตำราเหรอ รู้มาจากอะไร มันรู้จากมรรคญาณไง นี่ไงสสาร ธาตุรู้ ธาตุรู้มันรวมตัวอย่างไร ธาตุรู้มันกลั่นเข้าไปอย่างไร จิตนี้กลั่นออกมาจากอริยสัจอย่างไร อริยสัจมันเป็นความจริงนะ แต่จิตมันเหนืออริยสัจ มันก็รู้ว่าอริยสัจนั้นปล่อยไปแล้ว ปล่อยวางอริยสัจไว้ตามความเป็นจริงไง ถ้าเราไม่ปล่อยวางอริยสัจตามความเป็นจริงนะ นี่เรามาจากรถนะเราไม่ลงจากรถ รถเป็นของเรา รถเป็นของเรา เขาขังไว้ในรถออกจากรถมาได้ไหม เรามากับรถก็ทิ้งรถไว้โน้นนะ แล้วมานั่งอยู่นี่เพราะเราออกมา

จิตก็เหมือนกัน มันกลั่นออกจากอริยสัจ มันเข้าอริยสัจแล้วมันรู้จริงตามนั้น นี่ทุกข์ ทุกข์เกิดจากอะไร ทุกข์เกิดจากไหน ไอ้ที่มันทุกข์ๆ กันอยู่นี่มันผลของทุกข์ ทุกข์มันถ่ายขี้ไว้แล้วเราค่อยทุกข์ไง เพราะอารมณ์ความรู้สึกเราเสียใจ เรามีอารมณ์ความรู้สึกใช่ไหม เรามีความคิดใช่ไหม เราคิดว่ามันเสียใจมันถึงทุกข์ใช่ไหม แล้วไอ้ทุกข์มันเกิดจากทุกข์ความรู้สึกอันนี้เหรอ ทุกข์เกิดจากความคิดอันนั้นทุกข์ นั่นทุกข์

ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค สมุทัยคือตัณหาความทะยานอยาก เกิดแล้วผลักไส เกิดแล้วไม่พอใจ นิโรธคือความดับ ดับด้วยวิธีการอะไร ดับด้วยมรรคญาณ แล้วมรรคเกิดจากไหน มรรคเกิดจากตำราเหรอ มรรคเกิดจากน้ำชาที่ล้นออกไปจากนอกถ้วยนั่นเหรอ มรรคมันเกิดในถ้วยนั้นนะ น้ำชาจะดื่มได้มันอยู่ในถ้วยนั้น ถ้วยอยู่ที่ไหน ถ้วยคือใจ ใจของเรานี่ไง

ใจของเราถ้ามันพร่อง มันยอมรับธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วมันแก้ไขไป แล้วมันจะเป็นธรรมมา แต่ถ้ามันเป็นทิฏฐิมานะของเรา เป็นกิเลสทั้งหมดนะ อวิชชา วิชากับอวิชชา วิชาคือธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อวิชชาคือทิฏฐิมานะของเรา คือความเห็นของเรา คือกิเลสของเรา เต็มในหัวใจนั้น เต็มในถ้วยนั้น แล้วมันจะเกิดมรรคขึ้นไปได้อย่างไร มรรคเกิดขึ้นมาก็มรรคพลาสติก มรรคสัญญา มรรคเทียบมา มรรคพยายามเทียบเคียงแล้วให้มันเป็นไป แล้วมันไม่เป็นไป เป็นไปไม่ได้ เพราะมันล้นถ้วยออกไป

แต่ถ้ามันเป็นของเรานะ เราทำให้มันพร่องขึ้นมา เราทำความสงบเข้ามา ทำใจของเราสงบเข้ามา แล้วมันจะเกิดขึ้นมาของเราเอง เกิดขึ้นมาของเราเอง เกิดมาจากอะไร พ่อแม่ก็คือพ่อแม่ เวลาพระสารีบุตรกราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม สาธุ แต่ที่ยังศึกษาอยู่กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าศึกษา อยากรู้ อยากเห็น อยากเป็น อยากไป ทุกข์มาก แต่พอรู้ขึ้นมา เห็นไหม ถ้วยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ถ้วยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้วยของพระสารีบุตรก็เป็นถ้วยของพระสารีบุตร

นี่ก็เหมือนกัน เวลาเราทำงานของเราเป็นขึ้นมา เราเลี้ยงตัวเราเองได้ พ่อแม่ก็คือพ่อแม่ก็เคารพพ่อแม่อยู่อย่างเดิมนั่นแหล่ะ แต่หัวใจเรา เราเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่แล้วพ่อแม่ดีใจกับเราด้วย เพราะลูกของเราเข้มแข็งขึ้นมา ลูกของเรามีจุดยืนขึ้นมา ลูกของเราเลี้ยงตัวเองได้ พอลูกเลี้ยงตัวเองได้ พ่อแม่ก็เลี้ยงตัวเองได้ ทุกอย่างดีได้ มันดีไปหมดเลย ดีที่ไหนล่ะ มันดีที่ใจ ดีจากใจเรา เราต้องย้อนกลับมาที่นี่ เห็นไหม ความสุขเกิดจากที่นี่นะ ถ้าที่นี่เป็นความสุขใจ ใจมันควรแก่ศาสนา ศาสนาสอนที่นี่ เราทำเป็นกิจกรรม ทำขึ้นมาเพื่อความชุ่มยืนของใจ ใจที่เสียสละ ใจที่ได้ศึกษา ใจที่ได้ก้าวเดินขึ้นมานี่ชุ่มชื่นกันไปทั้งหมด เห็นไหม ต้นไม้ชุ่มชื่นเข้มแข็งไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ ต้นไม้มันก็ยืนต้นของมัน

ใจของเราก็เหมือนกัน ขอให้มันมีจุดยืนได้ อย่าอ่อนแอ อย่าอ่อนแอนะ วัวจะเล็กจะใหญ่เราฝึกเรายกของเราขึ้นมา ข้อวัตรปฏิบัติของเราต้องทำขึ้นมา ทางจงกรมของเรา เรามีความองอาจกล้าหาญ เราทำของเราขึ้นมา อาหารกินทุกวัน ถ้าไม่กินร่างกายขาดสารอาหารมันจะตาย ใจเหมือนกัน ใจอ่อนแอ ใจไม่มีจุดยืนเลย ใจไม่มีที่เกาะเกี่ยวเลย ใจไม่มีองอาจกล้าหาญเลย อ่อนแอ หลบซ่อน ซ่อนเร้นอยู่ในหัวใจของเรา นึกว่าไม่มีใครรู้นะ ไม่มีใครรู้ได้อย่างไร มันแสดงออกมานะ หน้าต่างของใจ เห็นไหม การกระทำออกจากใจทั้งนั้นนะ ถ้าใจอ่อนแอกิริยาก็อ่อนแอ ไม่กล้าเผชิญสิ่งใดๆ เลย ถ้าใจเข้มแข็งเจออะไรก็เข้มแข็งไปหมด มันทำได้หมด แล้วเข้มแข็ง

เข้มแข็ง อ่อนแอ มันมีสัมมา-มิจฉาอีก ถ้าเข้มแข็งทางมิจฉา ดูสิ ปล้น จี้ ฆ่ากันนะ มาจากไหน ไม่ใช่ความเข้มแข็งเหรอ เข้มแข็งเพราะจะเอาชนะเขา และมันความผิดพลาดก็ไปทำลายเขาหมดเลย ถ้าเข้มแข็งทางสัมมาเห็นไหม เขาทุกข์ร้อน เขาเจ็บทุกข์ได้ยาก เราเห็นแล้วมันเมตตา มันสังเวชไง ชีวิตเป็นอย่างนี้ไง ชีวิตเราก็เป็นอย่างนี้ ชีวิตเขาก็เป็นอย่างนี้ นี่มันกล้าหาญ ดูสิ เขาเกิดอุบัติเหตุกัน เห็นไหม ไฟไหม้ต่างๆ เขาไปช่วยเหลือกัน มาจากไหนล่ะ เขาสละชีวิตของเขานะ นี่เกิดเภทภัยขึ้นมา เขาสละชีวิตของเขาเข้าไปช่วยคนอื่น นี่ไงถ้าเป็นสัมมากล้าหาญในความสัมมา ภัยมาถึงตัวไม่กลัว ภัยมาถึงตัวเอาคนอื่นรอดก่อน ตัวเองเอาเสี่ยงภัยไว้ก่อน เห็นไหม

ความสัมมา ความมิจฉา เกิดจากความเข้มแข็ง มันต้องมีปัญญาขึ้นมาด้วย ทุกอย่างเป็นปัญญาที่ดี เราเลี้ยงใจของเราที่ดี เห็นไหม อยู่ชีวิตๆ เป็นอย่างนี้ แล้วชีวิตของเราจะไปข้างหน้า นี่แรงขับนี้เวลาเราเกิดจากพ่อแม่นะ ยังไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปเกิดเป็นอะไร เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน เกิดในนรกอเวจี มันไปเกิดที่ไหนล่ะ “โอปปาติกะ” นี่เวลาไปเกิดในครรภ์มารดา เกิดในครรภ์ ในไข่ เกิดในน้ำคร่ำ โอปปาติกะ การเกิด ๔ การกระทำกระทำ ๔ แล้วกิเลสอยู่ที่ไหน อยู่ที่ใจเรา กลับมาที่นี่ แก้ไขกันที่นี่แล้วจบกันที่นี่ เอวัง